ว่านเขียวหมื่นปี
          อโกลนีมา Aglaonema หรือที่เราเรียกว่า ว่านเขียวหมื่นปี ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Chinese Evergreen ซึ่งต่อมา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ประทานชื่อให้ใหม่ว่า “แก้วกาญจนา” ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งไม้ประดับ เป็นลำดับพืชที่มีมากกว่า 40 ชนิด
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Aglaonema Modestum
วงศ์ : ARACEAE
ชื่อสามัญ : Chinese Evergreen
ชื่ออื่นๆ : ว่านขันหมาก
ถิ่นกำเนิด : กระจายอยู่ในประเทศเขตร้อนของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จีน และ แอฟริกา
ประเภท : เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นเป็นข้อปล้อง ลำต้นกลมตรง แตกใบอ่อนตรงส่วนยอดของลำต้นทีละใบ ส่วนที่ติดกับลำต้นมีลักษณะเป็นกาบ
ลักษณะทั่วไป :
          ลำต้น : กลมสีเขียวออกแดงเรื่อๆ อาจสูงถึง1 เมตรมียางสีขาว ลำต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน ตั้งตรง มีข้อถี่ แตกใบอ่อนตรงส่วนยอดของลำต้นทีละใบ
          ใบ : ใบเดี่ยว รูปใบพาย ปลายใบเรียวแหลม โคนใบค่อยๆ สอบติดก้านใบ เส้นใบจม พื้นใบนูนเป็นลอน ขอบใบบิด ลำต้น ก้านใบและใบมีสีเขียวตลอด ก้านใบยาว 8-10 ซม. ลักษณะด้านบนเป็นร่องเล็กน้อย ด้านนอกกลมนูน บริเวณโคนแผ่ออกเป็นกาบสีเขียวออกแดงเรื่อๆ โอบหุ้มกันโดยรอบ ใบรูปรี ขนาดกว้าง 8-10 ซม. ยาว 15-20 ซม.ปลายใบมนแหลมโคนใบแคบมนทางด้านบนเส้นกลางใบ เป็นร่องสีเขียวด้านล่างเส้นกลางใบนูนเป็นสัน แผ่นใบสีเขียวอมเหลืองมีรอยประสีเขียวเข้มหรือสีบรอนซ์เงิน ตลอดใบบริเวณแผ่นใบทั่วๆ ไป ทางด้านบนแผ่นใบสีเข้มกว่าทางด้านล่างและมีรอยประมากกว่า
          ดอก : ดอกของเขียวหมื่นปีมีลักษณะคล้ายดอกของไม้ในวงศ์บอนทั่วไป ประกอบด้วย มีกาบหุ้มดอกหรือกาบหุ้มปลี รูปไข่หรือค่อนข้างกลม สีเหลืองนวล ช่อดอกมีลักษณะแท่งทรงกระบอก เกสรตัวผู้อยู่ส่วนบน และเกสรตัวเมียอยู่ส่วนล่าง เมื่อต้นมีอายุประมาณ 18-20 เดือน จะเริ่มให้ดอก โดยสังเกตได้จากยอดที่เกิดใหม่จะมีใบขนาดเล็กกว่าปกติ เรียกว่า "ใบธง" ดอกจะเกิดพร้อมกับใบธงนี้
          ผล : ผลมีลักษณะและขนาดเท่าลูกหว้าขนาดใหญ่ เมื่อแก่จัดเป็นสีเหลืองแก่
          เขียวหมื่นปี เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวที่มีระบบรากเป็นรากฝอย แผ่กระจายอยู่ใต้ดินในระดับตื้นบางชนิดสามารถอยู่ในสภาพน้ำท่วมขังได้ดี บางชนิดมีการพัฒนาระบบรากให้สะสมน้ำและอาหารเพื่อให้อยู่ได้ในสภาพแห้งแล้ง มีบางชนิดที่ลำต้นทอดเลื้อยไปตามผิวดินแตกรากได้ทุกข้อของลำต้น ใบมีรูปร่างยาวเรียวคล้ายใบพาย บางชนิดมีใบป้อมคล้ายใบโพธิ์ 
การขยายพันธุ์ :
          1.การแยกหน่อ เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลรวดเร็ว แต่ใช้ได้กับต้นที่มีหน่อเท่านั้น โดยตัดหน่อใหม่ที่มีใบ 2-3 ใบและที่โคนหน่อมีรากแล้ว ทารอยตัดด้วยปูนแดงรอให้แห้ง ก็สามารถนำไปปลูกได้ทันที
          2.การปักชำยอด วิธีนี้มักใช้กับต้นที่มีขนาดใหญ่สูงชลูดขาดความสวยงาม โดยตัดยอดให้มีความยาวพอสมควรไม่สั้นหรือยาวเกินไปและตัดให้รอยตัดชิดกับข้อต้นมากที่สุด ทาปูนแดงที่รอยตัดทั้งสอง ลอกใบของยอดชำออกให้เหลือแต่ใบส่วนยอดประมาณ 4-5 ใบ นำไปปักชำในขุยมะพร้าวผสมขี้เถ้าแกลบหรือขุยมะพร้าวผสมทรายหยาบ วางไว้ในที่ร่ม รดน้ำและรักษาความชื้นให้สม่ำเสมอ ประมาณ 3-4 สัปดาห์ จะเกิดราก จึงสามารถย้ายปลูกลงดินได้ต่อไป
          3.การตอนยอด วิธีนี้มักใช้กับต้นที่มีขนาดใหญ่สูงชลูดเช่นเดียวกับการปักชำยอด โดยลอกใบด้านล่างของยอดให้เหลือยอดพอสวย ใช้มีดที่คมและสะอาดกรีดเป็นรอยตามความยาวของต้นลึกประมาณ 0.5 ซม. บริเวณข้อต้นที่จะตอน 4-6 รอย หุ้มด้วยถุงพลาสติกมัดให้แน่น ประมาณ 3-4 สัปดาห์รากจะงอก จึงตัดนำไปปลูกต่อไป
          4.การชำข้อและลำต้น เป็นวิธีที่ง่ายและทำให้ได้ต้นใหม่จำนวนมาก ทำได้โดยตัดส่วนของข้อหรือลำต้นเป็นท่อนๆ ยาว 5-7 ซม. โดยให้มีส่วนของตาติดมาด้วยทุกท่อน แช่ด้วยน้ำผสมยากันเชื้อราหรือทาด้วยปูนแดงทิ้งไว้ให้แห้ง นำไปชำในขี้เถ้าแกลบผสมขุยมะพร้าวในอัตราส่วนเท่าๆ กัน โดยฝังให้จมลงประมาณสองในสามส่วนของลำต้นตามแนวนอนและวางให้ตาที่สมบูรณ์ที่ สุดอยู่ด้านบน ประมาณ 45-60 วัน รากจะงอก เมื่อใบขึ้นมา 2-3 ใบจึงย้ายปลูกได้
          - การปลูกว่านเขียวหมื่นปี เป็นไม้ที่เลี้ยงง่าย ปลูกได้ทั้งในดินปนทรายหรือดินร่วนซุย ไม่ชอบแสงแดดจัด ควรปลูกในที่ร่มหรือที่มีแสงแดดส่องเพียงรำไร เหมาะที่จะปลูกในอาคาร รดน้ำบ่อยๆ หรืออาทิตย์ละครั้งก็ได้
การดูแลรักษา :
          - เขียวหมื่นปีเป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนตามป่าที่มีฝนตกชุก จึงเป็นไม้ที่ต้องการความชื้นในอากาศสูง ชอบอยู่ในที่ร่มหรือที่มีแดดรำไร สามารถเจริญงอกงามได้ดีในที่ที่มีแสงสว่างเล็กน้อย และยังทนต่ออากาศที่แห้งแล้งและความชื้นต่ำได้ดี ถึงแม้จะปลูกเลี้ยงในที่ที่มีแสงสว่างจากดวงไฟเพียง 10-15 แรงเทียนก็สามารถเจริญงอกงามอยู่ได้
          - ถ้าปลูกเลี้ยงในที่มีแสงสว่างน้อยใบจะลู่ราบลงขนานกับพื้น ใบจะยาวขึ้น สีไม่สดใส จึงควรปลูกเลี้ยงในที่มีแสงเหมาะสมประมาณ 30-40% และมีแสงสม่ำเสมอรอบต้น หากได้รับแสงเพียงด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้ต้นเอียงไปทางด้านที่มีแสงมากกว่า แต่ถ้าให้ถูกแสงแดดโดยตรงจะทำให้ใบไหม้ได้
          - สำหรับดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินที่มีส่วนผสมของอินทรีย์วัตถุ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมักระบายอากาศได้ดีไม่มีน้ำขังแฉะหรือแห้งเร็วเกินไป ปุ๋ยเคมีควรใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 10-10-10, 15-15-15 ในปริมาณน้อยๆ หรืออาจใช้ปุ๋ยละลายช้าเพื่อค่อยๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารให้แก่ต้นก็ได้
          - นอกจากนี้เขียวหมื่นปียังสามารถปลูกเลี้ยงในน้ำบริสุทธิ์ได้ โดยล้างรากให้สะอาดแล้วนำไปปลูกในขวดหรือแจกันใส่น้ำยึดต้นให้แน่นด้วยการใช้สำลีอุดปากขวดหรือแจกันหรือกรวดเม็ดเล็กๆ ใส่ทับลงไปก็ได้เปลี่ยนน้ำทุกๆ10-15วัน ถ้าเป็นน้ำประปาควรพักไว้สักสองคืนก่อน เพื่กให้คลอรีนระเหยออกค่อยนำมาปลูกเลี้ยงและการใส่ปุ๋ยน้ำก็ควรใช้อย่างระมัดระวัง
          - การปลูกเขียวหมื่นปีเพื่อใช้เป็นไม้ประดับภายใน นิยมทั้งปลูกประดับเพียงต้นเดี่ยวๆ ในกระถางเล็กๆ หรือจะปลูกรวมเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็สวยงามเช่นเดียวกัน แต่ต้องคอยระมัดระวังให้เครื่องปลูกชุ่มอยู่เสมอ หากจะปลูกประดับอยู่นอกอาคารเป็นที่ที่ร่มรำไร ไม่ควรตั้งไว้ในที่ที่มีแดดจัดๆ มากนัก
ข้อดีของพันธุ์ไม้ :
          1.ลักษณะเด่นของเขียวหมื่นปีก็คือ มีทั้งลำต้นและใบที่มีสีเขียวตลอดทั้งปี
          2.ใบมีลวดลายสะดุดตา ใบมีลักษณะเรียวแหลม ขึ้นรวมกันเป็นกอ ต้นไม่สูงมากนัก
          3.เป็นว่านคงกระพันชาตรี เป็นไม้ประดับที่มีความสวยงามและเป็นสง่าแก่สถานที่ปลูก วัดในสมัยโบราณมักจะมีว่านนี้เกือบทุกวัด ถือเป็นแม่ว่านที่มีมาช้านาน เป็นมรดกตกทอดจนถึงปัจจุบัน
สรรพคุณ :
          ใบ : นำมาตำให้แหลกละเอียดผสมกับเหล้าขาว นำมาพอกแผลสดปิดปากแผลที่ถูกของมีคมแล้วเอาผ้าพันไว้ให้แน่น เมื่อหายเจ็บแล้วให้นำผ้าพันแผลออกจะเห็นรอยแผลเชื่อมสนิทกันเช่นเดิมเป็นรอยเล็กน้อยแต่ไม่ อักเสบหรือเจ็บปวดและเมื่อแผลแห้งตกสะเก็ดจะไม่เป็นแผลเป็น
-----------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ : ว่านเขียวหมื่นปีเป็นไม้ประดับที่มีใบสวยงาม สามารถเจริญงอกงามได้แม้ในที่มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย จึงนิยมใช้ปลูกเลี้ยงประดับภายในอาคาร นอกจากนี้เขียวหมื่นปียังทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่แห้งแล้งหรือความชื้นต่ำได้ดี ซึ่งในช่วงแรกๆ นั้น ใบจะมีสีเขียว แล้วค่อยๆ พัฒนาการมาเป็นสีสันแปลกตาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ในประเทศไทยมีผู้พัฒนาขึ้นมาใหม่ ทำให้มีหลากหลาย สีสันสวยงามและจัดเป็นไม้มงคล
          ชื่อภาษาอังกฤษ มีรากศัพท์จากภาษากรีก คำว่า Aglos แปลว่า แสงสว่างหรือความสดใส คำว่า Nema แปลว่า Thread คือเส้นใยบางๆ หรือเกลียว มีการตั้งชื่อสายพันธุ์ภาษาไทยที่สื่อความหมายทางโชคลาภ เช่น รัตนโกสินทร์, บ๊อกซิ่ง, บัลลังก์นาก, บัลลังก์ทองเศรษฐี, กวักมหามงคล (บัตเตอร์ฟลาย), ดุจอัญมณี, มังกรทอง, แฮปปี้เนส, เฮง เฮง เฮง, เกล็ดมรกต, กวักเงิน กวักทอง, เลดี้ วาเลนไทน์, หลักทรัพย์, เลกาซี่, ลิปสติก แดงสยาม, ลิปสติก มณีล้อมเพชร, ลิปสติก ทรอปิคอล, มาลัยทอง, มั่งมีศรีสุข, เพชรรังสิต, เพชรน้ำหนึ่ง, พาร่ำรวย, โพธิ์มหามงคล, บัลลังก์ทับทิม, รัตนรุ่งเรือง, รวยรายวัน, รุ่งเจ้าพระยา, สยาม ออโรร่า, สยามพาราไดซ์, เสริมทรัพย์, สยามเพิร์ล, สมบัติสยาม, โคชินซุปเปอร์เรด, ทองคำเปลว, ทองศุภโชค, วีนัส  และลูกไม้ใหม่ที่น่าสนใจ